T O P

UFABETWIN “สก็อตต์ ฮอลล์” : นักมวยปล้ำที่ติดเหล้าจนเกือบตายก่อนลุกขึ้นยืนได้ใหม่ด้วยหัวใจไม่ยอมแพ้

ช่วงค่ำตามเวลาของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 14 มีนาคม 2022 โลกมวยปล้ำต้องพบกับข่าวร้าย เมื่อ สก็อตต์ ฮอลล์ นักมวยปล้ำระดับตำนานเจ้าของแมตช์ 5 ดาวแมตช์แรกใน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน เนื่องจากอาการหัวใจวาย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอาการลิ่มเลือดอุดตันระหว่างการผ่าตัดสะโพก

ความโศกเศร้ากัดกินหัวใจของแฟนมวยปล้ำทุกคน ไม่ใช่เพียงเพราะฮอลล์เป็นนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพราะเรื่องราวการต่อสู้ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับมือกับปีศาจนอกสังเวียนอย่าง “อาการเสพติดสุรา” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

นี่คือเรื่องราวของอดีตซูเปอร์สตาร์ที่เคยติดเหล้าหัวปักหัวปำจนสูญเสียอนาคตในวงการและตกต่ำจนคิดฆ่าตัวตาย กับวันที่เขากล้าต่อสู้กับปีศาจของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืดหยัดในฐานะชายที่แข็งแกร่งได้อีกครั้งตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต

เรื่องราวของ “เรเซอร์ ราโมน”

แฟนมวยปล้ำรุ่นหลังอาจรู้จัก สก็อตต์ ฮอลล์ ภายใต้ชื่อจริงของเขา แต่สำหรับแฟนมวยปล้ำรุ่นเก๋าที่ติดตามกีฬาชนิดนี้มาตั้งแต่ยุค 90s พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวตนที่แท้จริงของนักมวยปล้ำรายนี้คือไอ้หนุ่มคิวบาผู้มีชื่อว่า เรเซอร์ ราโมน

เขาเปิดตัวในวงการมวยปล้ำเมื่อปี 1992 เรเซอร์ ราโมน เป็นคาแร็กเตอร์ใหม่ที่  สมาคมมวยปล้ำหมายเลขหนึ่งของโลกสร้างให้กับชายหนุ่มจากรัฐแมรี่แลนด์ เนื่องด้วยด้วยหน้าตาคมเข้มและหนวดเคราดกดำคล้ายชาวลาตินอเมริกัน สก็อตต์ ฮอลล์ จึงต้องรับบทบาทเป็นนักเลงจากประเทศคิวบาที่มาพร้อมกับสำเนียงพูดเหมือนตัวละคร โทนี่ มอนตาน่า ในภาพยนตร์เรื่อง (1983)

อาจเป็นคาแร็กเตอร์ที่ฟังดูตลกขบขันหากเกิดขึ้นในปี 2022 แต่ถ้าย้อนกลับไปในเวลานั้น เรเซอร์ ราโมน คือตัวตนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ สก็อตต์ ฮออล์ โดยก่อนจะเซ็นสัญญากับ เขาตระเวนสร้างชื่อกับสมาคมมวยปล้ำต่างๆอยู่นานเกือบ 10 ปี และลองเล่นมาแล้วหลายบทบาท

ไม่ว่าจะเป็น สตาร์ชิพ โคโยตี้ เพื่อล้อกับหน้าตาของเขาที่คล้ายหมาป่าโคโยตี้, “บิ๊ก” สก็อตต์ ฮอลล์ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำที่ตัวใหญ่ที่สุดของ หรือ ไดมอนด์ สตัดด์ หนุ่มรูปงามกล้ามสวยที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกล่อแฟนมวยปล้ำหญิงให้ตีตั๋วเข้ามาชมผู้ชายมากกว่าจะมาดูมวยปล้ำจริงๆ

 

UFABETWIN

ทั้งหมดล้วนเป็นคาแร็กเตอร์ที่ล้มเหลว และชีวิตนักมวยปล้ำของชายที่ชื่อ สก็อตต์ ฮอลล์ กำลังถึงจุดวิกฤต เขาลองเดิมพันครั้งสุดท้ายด้วยการติดต่อไปยัง เป็นเวลานานถึงหนึ่งปีเต็ม เพื่อขอโอกาสสักครั้งที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองกับค่ายมวยปล้ำเบอร์หนึ่งของโลก แม้จะต้องเริ่มต้นจากการเป็นนักมวยปล้ำระดับล่างสุดก็ยอม

แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ใน กลับแตกต่างไปจากที่ฮอลล์คาดหวังในตอนแรก เพราะเขามีทุกอย่างที่สมาคมแห่งนี้ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างกำยำเหนือมนุษย์ เสห่ห์ที่ล้นเหลือเกินบรรยาย และความสามารถในการพูดออกไมค์ที่ยอดเยี่ยม ส่วนจุดอ่อนเดียวในฐานะนักมวยปล้ำของเขาอย่างฝีมือบนเวทีสามารถถูกปิดบังได้ด้วยคาแร็กเตอร์อันยอดเยี่ยม นั่นจึงทำให้ เรเซอร์ ราโมน ถูกผลักดันสู่ระดับสูงตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ออกหน้าจอ

เจ้าของฉายา ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วใน  เขาคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลมาครองได้ในปี 1993 ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแมตช์ 5 ดาวแรกในสมาคม WWF ด้วยการปล้ำแมตช์ไต่บันไดกับ ชอว์น ไมเคิลส์ ในศึก ซึ่งจนถึงทุกวันนี้แฟนมวยปล้ำหลายคนยังยกให้แมตช์ของทั้งคู่เป็นแมตช์ไต่บันไดที่ดีที่สุดตลอดกาล

“แมตช์นี้พาอาชีพของผมก้าวไปอีกระดับ ในวินาทีที่ผมค่อยๆไต่บันไดขึ้นไปทีละขั้น แล้วผมก็หันไปมองชอว์นที่นอนอยู่อีกฝั่งของเวที ผมถามเขาในใจว่า นายเชื่อไหมล่ะว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันได้ผล?” สก็อตต์ ฮอลล์ เล่าถึงแมตช์มวยปล้ำระดับตำนานที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

นับจากวินาทีนั้น เรเซอร์ ราโมน กลายเป็นหนึ่งในซูเปอร์สตาร์ของโลกมวยปล้ำ คาแร็กเตอร์นี้ถูกผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะแถวหน้าของสมาคม ขณะที่ตัวเขาเองได้รับการชื่นชมจากแฟนมวยปล้ำในทุกด้านถึงการพัฒนาที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการปล้ำ การพูด หรือการถ่ายทอดคาแร็กเตอร์ออกมาให้มีชีวิต

นี่คือวินาทีที่ สก็อตต์ ฮอลล์ มีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา เขากลายเป็นฮีโร่ของเด็กๆ ผ่านการออกงานการกุศลมากมาย มีตัวตนในโลกวิดีโอเกมส์ รวมถึงโลกของเล่น ได้โอกาสถ่ายโฆษณาเมาไม่ขับในวันคริสมาสต์ ที่สำคัญคือเขาสามารถหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวของเขาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

เรเซอร์ ราโมน สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนและเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เกินกว่านักมวยปล้ำธรรมดาคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ชีวิตของคาแร็กเตอร์อันยอดเยี่ยมนี้จะอยู่ได้เพียงอีกไม่นาน เพราะ สก็อตต์ ฮอลล์ ได้เลือกทางเดินใหม่ให้แก่ชีวิต ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าจะเป็นเส้นทางที่พาไปสู่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของชีวิตเขาในเวลาต่อมา

ก้าวสู่จุดสูงสุดของวงการ

เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 1996 มีนักมวยปล้ำหลายรายของ  ที่ถูกผลักดันสู่ตำแหน่งแชมป์โลกและได้รับสิ่งตอบแทนเป็นค่าเหนื่อยมหาศาล แต่ สก็อตต์ ฮอลล์ ไม่ใช่หนึ่งในนั้น เงินเดือนของนักมวยปล้ำรายนี้ยังคงเท่าเดิมเหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อเขาเดินเข้าไปคุยกับเจ้าของค่ายอย่าง วินซ์ แม็คแมน แบบเปิดอก คำตอบเดียวที่เขาได้รับคือ การปฏิเสธ

บวกกับความรู้สึกที่เขาถูกนักมวยปล้ำหลายคนแซงหน้า สก็อตต์ ฮอลล์ จึงเริ่มรู้สึกว่าความก้าวหน้าในอาชีพของเขาอาจเดินมาถึงทางตัน และนี่คือสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิตการทำงาน เพราะเมื่อย้อนกลับไปยังปี 1989 ฮอลล์ ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งแชมป์โลกของ  เนื่องจากสมาคมกำลังอยู่ในจุดตกต่ำ และเขาไม่อยากรับบทบาทกัปตันของเรือที่กำลังจะจมน้ำ ซึ่งอาจจะมาฉุดรั้งอาชีพของเขาไว้

สถานการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้กลับมาเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ฮอลล์ รู้สึกว่าตนถูกมองเป็นเพียงนักมวยปล้ำระดับกลาง และประตูสู่การเป็นนักมวยปล้ำหมายเลขหนึ่งของ WWF กำลังจะปิดลงในไม่ช้า นี่คือเวลาที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะพิสูจน์ตัวเองที่นี่ต่อไปหรือจะย้ายไปเลือกเดินเส้นทางใหม่กับสมาคมอื่น

“ผมก้าวมาจากการเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไร สู่นักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดคนหนึ่ง แต่อยู่ดีๆ ผมกลับมาติดแหง็กอยู่ตรงกลางของอะไรบางอย่าง” สก็อตต์ ฮอลล์ เปิดเผยเหตุผลที่เขาหันหลังให้

“พูดตามตรง ผมไม่อยากย้ายออกจากสมาคมเลย แต่ผมไม่อยากทำอะไรแบบที่ผมทำอยู่ใน แล้ว ผมต้องการพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ใหม่ และผมก็คงจะไม่ก้าวไปไกลกว่านี้แล้วใน  มันเป็นเวลาที่ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องย้ายค่าย”

ฮอลล์ ไม่ใช่คนเดียวที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ เควิน แนช เพื่อนซี้ของเขาที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนทำงานใน ก็รู้สึกว่าตัวเองเจอทางตันในสมาคมแห่งนี้เช่นเดียวกัน ทั้งสองรู้สึกว่าตัวเองสมควรได้รับเงินมากกว่านี้ ได้รับความสำคัญมากกว่านี้ ซึ่งในปี 1996 มีสมาคมมวยปล้ำแห่งหนึ่งที่พร้อมจะมอบทุกอย่างให้กับพวกเขาได้

คือที่แห่งนั้น สมาคมคู่แข่งของ  ที่มีเจ้าของคือ เท็ด เทอร์เนอร์ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง ในสหรัฐอเมริกา และด้วยความทะเยอทะยานของนักธุรกิจผู้มีเงินเป็นพันล้าน พวกเขาพร้อมจะทำทุกทางเพื่อจะขโมยซูเปอร์สตาร์ของคู่ต่อสู้มาเข้ากระเป๋า ซึ่งในขณะนั้น สก็อตต์ ฮอลล์ และ เควิน แนช คือเป้าหมายสำคัญ

ทาง ทราบดีว่าในใจลึกๆของฮอลล์และแนช ทั้งคู่อยากอยู่กับ ต่อไป พวกเขาจึงยื่นข้อเสนอที่การันตีเงินมหาศาล ซึ่งไม่ว่าคุณจะจงรักภักดีกับค่ายเก่ามากแค่ไหนก็จะเปลี่ยนใจมาเซ็นสัญญากับค่ายใหม่ได้ง่ายๆ และเมื่อฮอลล์กับแนชมองเห็นเงินก้อนนี้ที่เป็นค่าเหนื่อยระดับเดียวกับนักมวยปล้ำเบอร์หนึ่งของ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมาตลอด ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายไปสู่ เพื่อเป็นสตาร์แถวหน้าของสมาคม

สก็อตต์ ฮอลล์ เปิดตัวในรายการ วันที่ 27 พฤษภาคม ปี 1996 ซึ่งเป็นตอนแรกที่รายการขยายความยาวเป็นสองชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของแท็กทีม ร่วมกับ เควิน แนช และเป็นหนึ่งในสามผู้ก่อตั้งกลุ่มมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ หรือ

“เราประสบความสำเร็จมากในตอนนั้น เราทำเรตติ้งบนจอโทรทัศน์ได้มหาศาล และเราขายสินค้าให้พวกเขาได้มากมาย ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ สก็อตต์ ฮอลล์ พูดถึงความยิ่งใหญ่ที่เขาร่วมสร้างในฐานะ

“พวกเขาไม่เหมือน ที่สร้างชื่อมานานตลอดหลายปี เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของค่ายมวยปล้ำที่มีแต่ทำแล้วขาดทุน ไม่เคยได้กำไร ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครอยากจะดู แต่เมื่อ ก้าวเข้ามา เสื้อของพวกเราขายหมดเกลี้ยง เราออกไปทัวร์ติดต่อกัน 10 วัน และเสื้อของ ขายหมดตั้งแต่วันที่สอง”

นี่คือวินาทีที่ สก็อตต์ ฮอลล์ ก้าวจากคำว่าซูเปอร์สตาร์สู่การเป็นเมกะสตาร์ของวงการมวยปล้ำ เขาคือนักมวยปล้ำที่ไม่มีใครไม่รู้จัก และสำคัญที่สุดคือเขากลายเป็นนักมวยปล้ำแถวหน้าของสมาคมหมายเลขหนึ่งของโลก เพราะในปี 1996 ความโด่งดังของ ทำให้ความนิยมของ แซงหน้า ไปเป็นที่เรียบร้อย

ความโด่งดังของ สก็อตต์ ฮอลล์ สร้างความโกรธแค้นให้ และ วินซ์ แม็คแมน เป็นอย่างมาก เพราะด้วยความฉลาดเป็นกรดของ สก็อตต์ ฮอลล์ เขาขโมยคาแร็กเตอร์ของ เรเซอร์ ราโมน มาใช้ใน เกือบทั้งหมด เพียงแค่เลิกแต่งตัวเป็นคนคิวบากับเลิกใช้ชื่อสไตล์ลาตินเท่านั้น แต่ท่าทางการเดิน ลักษณะการพูด ประโยคติดปาก หรือนิสัยชอบคาบไม้จิ้มฟันไว้ในปากนั้น สก็อตต์ ฮอลล์ ลอกมาใช้ทั้งหมด

เรื่องนี้นำมาสู่การฟ้องร้องยาวยืดระหว่าง สก็อตต์ ฮอลล์ และ รวมถึงการแก้เผ็ดผ่านการสร้างคาแร็กเตอร์ เรเซอร์ ราโมน ตัวปลอมของ เพื่อเป็นการด้อยค่าสิ่งที่ ฮอลล์ เคยทำไว้ในอดีต ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ผล ฮอลล์ กำลังดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆใน

แต่ท่ามกลางความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น สก็อตต์ ฮอลล์ เริ่มถูกวิจารณ์ว่าขาดการพัฒนาในทุกด้าน การปล้ำที่ยังคงพึ่งแต่ท่าเดิม การพูดที่ยึดแต่ลักษณะเดิม และคาแร็กเตอร์ที่ไม่เคยก้าวไปไหน หลายคนเริ่มกังวลว่าเขาเหมือนกับนักมวยปล้ำรุ่นเก๋าหมดไฟใน ไปทุกขณะ ทั้งๆที่ ฮอลล์ เป็นสายเลือดใหม่และควรจะเป็นอนาคตของสมาคม

นี่คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เริ่มรุมเร้าผู้ชายคนนี้ และความอ่อนแอที่ สก็อตต์ ฮอลล์ เคยแอบซ่อนไว้อยู่ในใจ จนเปิดทางให้ปีศาจตัวร้ายเข้ามาเล่นงานชีวิตของเขาจนหมดสภาพและเกือบเอาชีวิตไม่รอด

เมื่อปีศาจวิ่งไล่ตามจนทัน

“สก็อตต์ ฮอลล์ เป็นหนึ่งในคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด มองการณ์ไกลมากที่สุด และมีความรู้มากที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วยในวงการมวยปล้ำ แต่ผมกำลังพูดถึงเขาในวันที่ดีอยู่นะ เพราะ สก็อตต์ ฮอลล์ ในวันที่แย่การจะบอกว่าเขาเป็นไอ้ชั่วยังดูดีเกินไปมาก” เอริค บิสชอฟฟ์ เล่าถึงตัวตนสองด้านในอดีตของเพื่อนร่วมงาน

ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับในชีวิตของนักมวยปล้ำยุค 90s คือ พวกเขาเป็นผู้ให้ความบันเทิง และในขณะที่ผู้คนต่างพากันหลับใหล สิ่งที่นักมวยปล้ำเหล่านี้ทดแทนให้กับเวลาทั้งหมดที่เสียไปในการทำงานคือการหาความบันเทิงให้แก่ตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณต้องนั่งหลังแข็งบนรถเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อตระเวนไปยังเมืองต่างๆนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ชีวิตของนักมวยปล้ำเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดังนั้นแล้ว การดื่มเหล้าจนเมาเละในแต่ละคืนหรือการใช้ยาเสพติดเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจึงเป็นเรื่องปกติของนักมวยปล้ำในเวลานั้น ซึ่งสำหรับ ฮอลล์ ไลฟ์สไตล์ในลักษณะนี้ทำลายชีวิตครอบครัวของเขาจนพังป่นปี้ ท้ายที่สุดภรรยาของเขาก็ได้ขอหย่าร้างกับเขาในปี 1998 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันเลวร้ายทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น

“วันหนึ่งฮอลล์เดินทางมาปล้ำด้วยสภาพเมาหนัก ผมซึ่งกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เลยจำเป็นต้องฉวยโอกาสจากสถานการณ์อันเลวร้ายที่มันเป็นอยู่ อย่างน้อยมันก็อาจจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง” เอริค บิสชอฟฟ์ ให้เหตุผลถึงเหตุการณ์อันอื้อฉาวที่เขาทำกับ สก็อตต์ ฮอลล์

“ผมไม่ภูมิใจหรอกนะที่ทำแบบนั้น และผมคงเลือกทำในสิ่งที่ต่างออกไปหากเป็นตอนนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเขาตอนนั้นมันแย่แค่ไหน คือผมรู้ว่าเขาแย่ แต่ไม่รู้ว่าแย่แค่ไหน มันคือความผิดพลาด ผมยอมรับเลย”

เมื่อปัญหาเสพติดสุราของฮอลล์ยากจะปกปิด จึงนำปัญหาในชีวิตจริงของเขามาผูกเป็นเนื้อเรื่องบนหน้าจอ สก็อตต์ ฮอลล์ นักมวยปล้ำที่เคยสร้างแรงบันดาลใจแก่ใครหลายคนได้กลายเป็นชายสิ้นสภาพที่สะดุดล้มเพราะเมาหัวทิ่ม บางครั้งก็ไม่ยอมเดินทางมาปล้ำเพราะเอาแต่เมาอยู่ที่บาร์ (ตามบท) และที่แย่ที่สุดคือมีการอ้วกแตกกันบนหน้าจอโทรทัศน์

แค่มองในมุมของนักมวยปล้ำคนหนึ่งที่ต้องรับบทเป็นไอ้ขี้เหล้าก็แย่พออยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ฮอลล์ หลังฉากยิ่งแย่กว่า เพราะตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็แยกไม่ออกแล้วระหว่างคำว่า “ชีวิตจริง” และ “คาแร็กเตอร์” เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเมาเละเทะขณะทำงานเป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องที่แย่ ฮอลล์ รู้เพียงแต่ว่าชีวิตของเขาขาดเหล้าและยาเสพติดไม่ได้

ความจริงที่น้อยคนนักจะรู้คือ สุดยอดนักมวยปล้ำอย่าง สก็อตต์ ฮอลล์ มีหัวใจที่เปราะบางกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง ย้อนกลับไปในวันที่เขาเป็นเด็กน้อยอายุเพียง 8 ขวบ ฮอลล์ บอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าเขาจะต้องเติบโตเป็นนักมวยปล้ำ และเมื่อเขาอายุได้ 17 ปี เขาก็เลือกที่จะเดินตามความฝันนั้นด้วยการย้ายไปอยู่ที่รัฐฟลอริดาเพียงลำพัง เพื่อหาลู่ทางเดินเข้าสู่วงการมวยปล้ำตามความฝันที่วาดไว้

แต่วัยรุ่นที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีผู้ปกครองคอยแนะนำย่อมพาตัวเองไปเสี่ยงกับอันตรายอยู่เสมอ ฮอลล์ เองก็เช่นเดียวกัน เมื่ออายุได้ 21 ปี เขาทะเลาะกับชายคนหนึ่งบริเวณหน้าไนท์คลับ และเพื่อจะป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้าย ฮอลล์ จึงพลั้งมือฆ่าผู้ชายคนนั้นตายหลังเข้าแย่งปืนจากคู่วิวาท (ผู้เสียชีวิตถูกยิงด้วยปืนของตัวเอง) และถึงแม้ ฮอลล์ จะหลุดพ้นจากทุกข้อกล่าว เพราะถือว่าเป็นการทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่ตราบาปที่เขาได้พรากชีวิตใครคนหนึ่งไปจากโลกใบนี้ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเขาเลย

“33 ปีก่อนหน้านี้ บนหัวมุมที่อยู่ห่างออกไปตรงนั้นมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมเกิดขึ้น (ก้มหน้า) ขอโทษนะ แต่ผมทำมันไม่ได้จริงๆ” สก็อตต์ ฮอลล์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุที่เขาพลั้งมือฆ่าคนตาย ก่อนยุติการให้สัมภาษณ์กะทันหัน เนื่องจากไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

บาดแผลของ ฮอลล์ จางหายไปเมื่อเข้าสู่วงการมวยปล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้พบกับมิตรภาพที่ยิ่งกว่าครอบครัวกับผองเพื่อนกลุ่ม และการปฏิบัติอย่างดีโดย WWF แต่เมื่อเขาย้ายมาอยู่กับ ที่วัฒนธรรมการทำงานหลังฉากเต็มไปด้วยการกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวและการแทงข้างหลังกันและกัน แพชชั่นที่ ฮอลล์ เคยมีต่อกีฬามวยปล้ำก็หายไปหมดสิ้น เขากลายเป็นคนที่ทำงานไปวันๆเพื่อเงินก้อนโต และนี่คือวินาทีที่ปีศาจตัวร้ายกลับมาอีกครั้ง

ฮอลล์ หลีกหนีจากปีศาจที่คอยหลอกหลอนเขาเรื่องฆ่าคนตายด้วยการยืมมือปีศาจร้ายอีกตนอย่างสุราและยาเสพติด สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ฮอลล์ สร้างความเสียใจแก่หลายคนในวงการมวยปล้ำ แม้แต่ วินซ์ แม็คแมน ก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของเขาเช่นกันที่ทำให้ชีวิตของฮอลล์ลงเอยแบบนี้ เพราะถ้าย้อนกลับไปในปี 1996 เขาเลือกจะทุ่มข้อเสนอแข่งกับ WCW และรั้งฮอลล์ไว้อยู่ โศกนาฏกรรมแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

วินซ์ แม็คแมน แก้ไขความผิดพลาดของตัวเองด้วยการให้โอกาสฮอลล์กลับมาสู่ WWF หรือ อีกครั้งในปี 2002 พร้อมกับผลักดันสู่ระดับสูงทันทีเหมือนกับที่เขาเคยทำในปี 1992 แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว นักมวยปล้ำหนุ่มผู้ทะเยอทะยานหายไปแล้ว เหลือเพียงผู้ชายที่เปราะบางและไม่อาจแบกรับความกดดันอะไรได้อีก เขายังคงพึ่งพาสุราและยาเสพติดเพื่อหลีกหนีจากความเจ็บปวด แม้ในใจลึกๆจะรู้ว่านี่คือปีศาจที่ทำลายชีวิตของเขา แต่มันไม่มีทางไหนที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้อีกแล้ว

ท้ายที่สุด เขาถูกไล่ออกจาก  หลังกลับมาทำงานกับสมาคมได้เพียง 4 เดือน หัวใจของเขาแตกสลายยิ่งกว่าเดิม เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเวลาของเขากับวงการมวยปล้ำได้สิ้นสุดลงแล้ว และถึงแม้ฮอลล์จะพยายามกี่ครั้งในการกลับมาสู่วงการมวยปล้ำหลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยได้กลับมายืนในจุดที่เขาเคยเป็นได้อีกเลย

ลุกขึ้นและยืนหยัดจนวันสุดท้ายของชีวิต

ตลอดช่วงปี 2002 จนถึง 2012 สก็อตต์ ฮอลล์ ยังคงมีปัญหาด้านความประพฤติและอาการเสพติดแอลกอฮอล์ จนนำไปสู่การถูกจับกุมหลายครั้ง โดยในปี 2008 เขาถูกจับข้อหาทำร้ายร่างกายขณะมึนเมา, ปี 2010 ถูกจับกุมในข้อหาขัดขืนเจ้าหน้าที่ขณะเมาเละเทะอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง และในปี 2012 เขาถูกจับกุมด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายแฟนสาว หลัง ฮอลล์ บีบคอแฟนของตนขณะที่เขาเมาอย่างหนัก

เห็นได้ชัดว่าตลอด 10 ปีดังกล่าว ชีวิตของ ฮอลล์ ยังคงจมอยู่กับปีศาจตัวร้ายที่ชื่อว่าสุรา เขายอมรับในภายหลังว่ามันสบายใจกว่าที่ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในมุมมืดเช่นนั้น แทนจะออกมาเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ที่ใครหลายคนมีต่อเขา เพราะต้องยอมรับว่าความไม่เป็นมืออาชีพที่เขามีในช่วงท้ายของชีวิตนักมวยปล้ำ ส่งผลให้ฮอลล์ถูกโจมตีอย่างหนัก ถึงกับถูกนักมวยปล้ำรุ่นน้องด่าแบบนอกบทกลางเวทีก็เคยมาแล้ว

“มีหลายคนมากที่ยื่นมือเขามาเพื่อช่วยเหลือผม แต่ปัญหาคือ ผมไม่ยอมที่จะตอบรับความช่วยเหลือนั้น มันเหมือนกับว่า -เฮ้ ถ้าคุณไม่ชอบสิ่งที่ผมทำ ก็ไม่ต้องมายุ่งกับผม-” สก็อตต์ ฮอลล์ บอกเล่าเหตุผลที่เขาจมอยู่กับชีวิตในมุมมืดมานานแสนนาน

“ถามว่าผมตัดสินใจผิดพลาดไหม? เรื่องนั้น แน่นอน ถามว่าผมจะแนะนำยาเสพติดหรือสุราให้คุณไหม? ไม่เลย แต่ถามว่ามันได้ผลไหม? ใช่ มันได้ผล ผมไม่โกหกเรื่องนี้กับคุณหรอก สิ่งที่แย่คือ เมื่อคุณอยากจะเลิกมัน คุณทำไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม”

สก็อตต์ ฮอลล์ หลบหน้าจากเพื่อนๆที่คอยมอบความรักและหวังดีต่อเขามาอย่างยาวนาน แม้เขาจะแสร้งทำเป็นเข้ารับการบำบัดบ้าง แต่เขาไม่เคยคิดจะเลิกเหล้าอย่างจริงจัง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ ฮอลล์ผ่านการบำบัดมามากถึง 12 ครั้ง แถมชีวิตของเขาก็กำลังตกต่ำลงไปอีก

ฮอลล์ เคยปรากฏตัวในงานมวยปล้ำอินดี้ที่มีคนดูเพียงไม่ถึงร้อยด้วยสภาพเมาเละเทะในปี 2011 แม้แต่แฟนมวยปล้ำที่รักเขามากที่สุดยังเห็นตรงกันว่าศักดิ์ศรีของ สก็อตต์ ฮอลล์ ได้จางหายไปหมดสิ้น เหลือแต่เพียงความน่าอับอายในชีวิตของผู้ชายคนนี้เท่านั้น

ท้ายที่สุด ชีวิตของฮอลล์ก็เดินทางมาถึงจุดต่ำสุด เขาครอบครองปืนหนึ่งกระบอกไว้ในมือ และพร้อมจะปลิดชีพให้ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาล โชคดีที่เพื่อนทุกคนในชีวิตของฮอลล์ไม่เคยหันหลังจากผู้ชายคนนี้เลย นักมวยปล้ำอย่าง ไดมอนด์ ดัลลาส เพจ และ เจค “เดอะ สเนค” โรเบิร์ตส์ ได้โทรศัพท์ไปหาฮอลล์อย่างเปิดใจ และยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ชายคนนี้อีกครั้ง

เดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 สก็อตต์ ฮอลล์ ตอบรับคำเชิญของ ไดมอนด์ ดัลลาส เพจ ซึ่งในขณะนั้นทำธุรกิจคลินิกโยคะและผ่านประสบการณ์บำบัดสิงห์ขี้เหล้าอย่าง โรเบิร์ตส์ มาแล้ว ซึ่งสภาพของ ฮอลล์ ที่เดินทางมาพบ ดัลลาส เพจ ทำให้ฝ่ายหลังตกใจมาก เพราะเขาไม่เพียงอ้วนฉุ แต่ยังไม่สามารถเดินด้วยตัวเอง และต้องเคลื่อนไหวด้วยการนั่งรถเข็นตลอดเวลา มันแสดงให้เห็นเลยว่าชีวิตของผู้ชายคนนี้แหลกสลาย และเดินทางมาถึงจุดลิมิตแล้ว

เคราะห์ดีที่ ดัลลาส เพจ ไม่เคยยอมแพ้ เขาลงมือซ่อมแซม สก็อตต์ ฮอลล์ ให้กลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้งทั้งทางร่างกาย จิตใจ ทัศนคติ และจิตวิญญาณ นอกจากนี้ ดัลลาส เพจ ยังเปิดระดมทุนเพื่อหาค่ารักษาพยาบาลอาการป่วยต่างๆของฮอลล์ ซึ่งรวบรวมเงินจากแฟนมวยปล้ำมาได้ถึง 110,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 3 ล้านบาท

กำลังใจจากแฟนมวยปล้ำช่วยให้ฮอลล์กลับมาลุกขึ้นยืนและก้าวเดินต่อไปได้อีกครั้ง (ทั้งในทางปฏิบัติและเปรียบเทียบ) เช่นเดียวกับการบำบัดของ ดัลลาส เพจ ที่แตกต่างออกไปจากที่ฮอลล์เคยประสบมา อดีตนักมวยปล้ำรายนี้มอบแต่ความรักให้แก่ผู้ป่วยของเขา ซึ่งฮอลล์ก็ซึมซับความรักนี้เป็นพลังให้เขาต่อสู้และเอาชนะปีศาจตัวร้ายได้สำเร็จ

 

UFABETWIN

“คุณรู้ไหมว่าผมรู้ตัวดีนะว่ากำลังร่วงลงไปอย่างช้าๆ และสักวันหนึ่งผมจะล้มลงไป แน่นอนว่าผมไม่ได้อยู่ในจุดที่ควรจะเป็น แต่ขอบคุณพระเจ้า ผมก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ผมเคยเป็นเหมือนกัน ผมคิดว่าผมโอเค และผมกำลังเดินบนเส้นทางของตัวเองต่อไป”

หนึ่งปีหลังจากเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจังจนหายขาดจากอาการติดสุรา สก็อตต์ ฮอลล์ ก็ได้รับเกียรติถูกเชิญเข้าสู่หอเกียรติยศของ WWE และยังเริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้าไปเป็นโค้ชพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ฝึกฝนนักมวยปล้ำหน้าใหม่ของ  เป็นครั้งคราว แต่สำคัญที่สุดคือ ฮอลล์ ได้กลับมาใช้เวลากับลูกๆและครอบครัวของเขาอย่างมีความสุขอีกครั้ง

ฮอลล์ ใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มจนถึงวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ เมื่อเขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย ในวันที่ 14 มีนาคม 2022 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากลิ่มเลือดไปอุดตันระหว่างการผ่าตัดสะโพก โลกมวยปล้ำต่างไว้อาลัยให้แก่เขา เพราะเส้นทางชีวิตของ สก็อตต์ ฮอลล์ คือเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยสัมผัส

“ไม่ว่าจะสักกี่ครั้งที่คุณล้ม โปรดจำไว้ว่านั่นคือจำนวนครั้งที่คุณลุกขึ้น คุณจะไม่มีวันแพ้ ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ ฉะนั้น ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ คุณก็จะไม่มีวันแพ้” นี่คือประโยคที่ เรเซอร์ ราโมน เคยพูดเอาไว้เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน

และคนที่สะท้อนความจริงของคำพูดนั้นได้ดีที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก สก็อตต์ ฮอลล์ เพราะตราบใดที่คุณกล้าจะลุกขึ้น คุณก็จะไม่มีวันแพ้ และตำนานนักมวยปล้ำรายนี้ก็ทำให้เห็นแล้วในชีวิตของเขา

UFABETWIN

UFABETWIN ยิ่งสูงยิ่งหนาว : การจัดอันดับในรอบเพลย์ออฟส่งผลต่อการลุ้นแชมป์ เอ็นบีเอ มากน้อยแค่ไหน

การแข่งขัน ประจำฤดูกาล 2021-22 กำลังดุเดือดถึงที่สุด หลังจากเข้าสู่รอบเพลย์ออฟที่จะชี้ชะตาว่าทีมใดจะได้คว้าแชมป์เป็นเบอร์ 1 ของลีกบาสเกตบอลที่โด่งดังที่สุดในโลก

สำหรับตัวเต็งที่ได้รับการคาดหมายในปีนี้ก็หนีไม่พ้นทีมที่ทำผลงานมาดีตั้งแต่ฤดูกาลปกติ ทั้ง ฟีนิกซ์ ซันส์, โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส และ มิลวอกี้ บัคส์ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องฟอร์มการเล่นที่ทำให้ทีมเหล่านี้ได้รับการคาดหมายว่ามีโอกาสเป็นแชมป์มากกว่าทีมอื่น แต่การจัดลำดับ หรือตำแหน่งของทีมวางในรอบเพลย์ออฟ ก็เอื้อประโยชน์อย่างมากให้กับทีมเหล่านี้ในการเป็นแชมป์

นี่คือเหตุผลว่าทำไมแต่ละทีมถึงสู้เต็มที่ในฤดูกาลปกติเพื่อที่จะเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของสาย เพื่อมีอันดับที่ดีในการเล่นรอบเพลย์ออฟ เพราะความได้เปรียบและเสียเปรียบของทีมที่มี สูงกว่ากับทีมที่อยู่ลำดับต่ำกว่าจะต่างกันมากมายมหาศาล

จะพาคุณไปหาคำตอบว่า ทีมที่มีอันดับทีมวางสูงในรอบเพลย์ออฟของ ได้เปรียบมากน้อยแค่ไหน เหตุใดทีมเหล่านี้ถึงมีโอกาสได้แชมป์สูงกว่าทีมอื่น ๆ ในทุกฤดูกาล

คืออะไรในรอบเพลย์ออฟ ?

การแข่งขันรอบเพลย์ออฟเพื่อหาแชมป์ประจำฤดูกาลถือว่าเป็นเสน่ห์สำคัญของลีกกีฬาในสหรัฐอเมริกา เพราะแค่แข่งเป็นแชมป์ในการแข่งขันปกติกลับไม่เพียงพอที่จะได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ประจำฤดูกาล หากแต่จะได้รับการการันตีสิทธิ์ไปแข่งในรอบเพลย์ออฟเพื่อหาแชมป์ตัวจริงอีกที

แน่นอนว่าฤดูกาลปกติคงไร้ความหมายหากว่าทีมที่ได้แชมป์ในการแข่งขันปกติไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรกลับมา ดังนั้นถึงจะไม่ได้ถ้วยแชมป์ทีมที่ทำอันดับได้ดีกว่าในฤดูกาลปกติจะได้ความได้เปรียบในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟเป็นการทดแทน

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าระบบ ที่เข้ามามีบทบาทในการจัดลำดับทีมวางในรอบเพลย์ออฟ โดยทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดจะได้รับการจัดวางลำดับที่ดีกว่าในการเล่นรอบเพลย์ออฟ เช่น ทีมที่ชนะเยอะที่สุดในฤดูกาลปกติก็จะได้เป็น อันดับที่ 1

ส่วนทีมมีอันดับรองลงมาก็จะอยู่ในที่รองลงมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่นทีมที่ชนะเยอะมากที่สุดในฤดูกาลเป็นอันดับ 2 ก็จะได้ ลำดับที่ 2 ทีมที่ชนะเยอะเป็นลำดับ 3 จะได้ ที่ 3 เป็นแบบนี้ลงไปเรื่อย ๆ

สำหรับการจัด ในรอบเพลย์ออฟของ คือการแบ่งออกเป็นโซนตะวันตกและตะวันออก เพื่อแบ่งเป็นสองสายในรอบเพลย์ออฟ โดยแต่ล่ะสายจะมีในรอบเพลย์ออฟทั้งหมด 8 ทีม เรียงลำดับตามทีมที่ชนะมากที่สุดในฤดูกาลปกติ (ยกเว้นใน อันดับ 7 และ 8 ที่จะมีการแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อหาทีมเข้าแข่งขันก่อนในรอบที่ชื่อว่า)

แน่นอนว่าระบบการเพลย์ออฟในลีกกีฬาอเมริกันเกมส์ถูกใช้มาอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะระบบ ที่มีบทบาทในทุกลีกกีฬาชั้นนำของสหรัฐฯ ทั้ง เพราะระบบนี้ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้วว่าการได้ ในลำดับที่สูงกว่าโดยเฉพาะอันดับ 1 หรือ 2 จะได้เปรียบมหาศาลที่จะเอื้อให้คว้าแชมป์ในบั้นปลาย

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ตลอด 10 ฤดูกาลหลังสุดของ ทุกปีจะต้องมีทีมที่ได้ 1 หรือ 2 เข้าชิงเป็นอย่างน้อย 1 ทีมเสมอ และ 9 ใน 10 ครั้งที่ผ่านมาทีมที่คว้าแชมป์ คือทีมที่ได้ 1 และ 2 ในรอบเพลย์ออฟ

UFABETWIN

 

นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการได้ ลำดับสูงในรอบเพลย์ออฟส่งผลต่อโอกาสที่จะคว้าแชมป์อย่างมาก และนี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกทีมถึงสู้สุดใจทำผลงานให้ดีที่สุดในฤดูกาลปกติ เพราะถึงจะไม่ได้เป็นแชมป์ในทันทีแต่ก็เป็นใบเบิกทางชั้นดีที่จะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟ

มีข้อได้เปรียบมากมายที่ทีม อันดับสูงจะได้รับในรอบเพลย์ออฟ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นติดตามไปต่อกับเราได้เลย

โปรแกรมการแข่งขันที่ง่ายกว่า

ข้อได้เปรียบแรกของการมีอันดับ Seed ที่สูงกว่าคือการได้เปรียบในการประกบคู่ในรอบเพลย์ออฟที่จะไม่ต้องเจองานยาก ไม่ต้องเสี่ยงไปเจอทีมแข็ง ๆ เพื่อมีโอกาสตกรอบสูงตั้งแต่รอบแรก ๆ ของการเพลย์ออฟ

สำหรับการเพลย์ออฟใน จากทั้ง 8 อันดับในแต่ละสายไม่ว่าจะตะวันตกหรือตะวันออก จะทำการแบ่งทั้ง 8 ทีมออกเป็นสองกลุ่ม โดยในกลุ่มแรกจะประกอบไปด้วยอันดับ 1,4,5,8 และอีกกลุ่มจะเป็น 2,3,6,7

โดยความได้เปรียบของทีมที่ได้ครองอันดับ 1 จะได้เปรียบสุด ๆ ในรอบแรกด้วยการเจอกับทีมใน อันดับ 8 หรือพูดง่าย ๆ คือเป็นการจับคู่ทีมที่เก่งที่สุดในฤดูกาลปกติเจอทีมที่อ่อนที่สุดในฤดูกาลปกติที่ผ่านเข้ารอบเพลย์ออฟมาได้

นอกจากจะได้เจอทีมอ่อนตั้งแต่รอบแรก หากผ่านเข้าสู่รอบสองของการเพลย์ออฟทีมจาก 1 ก็จะเข้าไปตามสายเจอผู้ชนะจากเกมพบกันระหว่างทีม อันดับ 4 กับทีมอันดับ 5 ซึ่งก็ไม่ใช่ทีมที่แข็งเท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าอย่างน้อยก็มีทางสบายไปสู่รอบชิงเป็นเครื่องการันตี

ขณะที่ทีม อันดับ 2 ก็กุมความได้เปรียบไว้ไม่น้อยเช่นกัน โดยในรอบแรกก็จะได้เจอทีมที่ไม่ใช่ของแข็งคืออันดับ 7 เพียงแต่ว่าในรอบสองของการเพลย์ออฟมีสิทธิ์จะได้เจอของแข็งกว่า เพราะจะต้องไปเจอผู้ชนะจากคู่ระหว่างทีม อันดับ 3 กับ อันดับ 6

ด้วยความที่รอบเพลย์ออฟของไม่ได้แข่งเพียงแมตช์เดียวจบ แต่ต้องแข่งเป็นซีรีส์ที่ต้องชนะ 4 จาก 7 เกม ทีมใดที่ได้ 4 เกมก่อนจะชนะไปเลย ดังนั้นการได้เจอทีมที่อ่อนกว่าในรอบแรกก็เป็นการถนอมแรงของผู้เล่นได้เป็นอย่างดีสำหรับการเก็บพลังงานไว้ไปบดบี้กับทีมเก่งในรอบถัดไป

ยกตัวอย่างเช่นในการแข่งขันเพลย์ออฟของปี 2020 ที่ผ่านมา ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส คว้า อันดับ 1 ของสายตะวันตกมาครองได้ และเอาชนะทีม อันดับ 8 ไปอย่างง่ายดาย 4 ต่อ 1 เกม เหนือ พอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ก่อนจะผ่านเข้าสู่รอบสองไปล้ม ฮิวส์ตัน ร็อกเก็ตส์ ทีมจาก 4 แบบง่าย ๆ 4-1 เกมอีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายก็เป็นใบเบิกทางที่ดีให้เลเกอร์สไม่ต้องเหนื่อยและคว้าแชมป์ ไปแบบสบาย ๆ ในปีนั้น

มีมากมายหลายกรณีที่ทีม อันดับ 1 หรือ 2 ได้เก็บงานง่าย ๆ กับทีม ต่ำกว่าจนผ่านรอบแรกหรือรอบสองไปแบบสบาย ๆ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้ลงเล่นน้อยกว่าและผ่านการเอาชนะเกมแบบง่าย ๆ มีผลในการถนอมแรงรวมถึงพลังให้ทีมเหล่านี้ได้เอาไปใช้ในเกมสำคัญเช่นในรอบชิงชนะเลิศ

โอกาสของการเล่นในบ้าน

นอกจากจะได้เจอทีมที่ง่ายกว่า อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของทีมที่มี  เหนือกว่า คือการได้มีโอกาสได้เล่นในบ้านมากกว่า โดยในการเพลย์ออฟของ ทีมที่มี สูงกว่าจะมีโอกาสได้เล่นในบ้านทั้งหมด 4 เกม ขณะที่ทีมที่มี ต่ำกว่าจะได้มีโอกาสเล่นในบ้านเพียง 3 เกมจากทั้งหมด 7 เกมในซีรีส์

 

UFABETWIN

ในรอบเพลย์ออฟนั้นการได้เล่นในบ้านมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยลดความกดดัน สร้างความคุ้นเคยที่มากกว่าให้กับทีมเจ้าบ้าน แถมมีแฟนบาสที่แน่นสนามมาคอยเป็นพลังหนุนหลังที่กดดันคู่แข่งด้วย

ขณะที่ฝั่งผู้มาเยือนนั้นตรงกันข้าม เพราะพวกเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเจอกับอุปสรรคและความกดดันอะไรบ้าง ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องในสนามเพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงนอกสนามด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้มีการเก็บสถิติว่าหากนับตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา ในรอบเพลย์ออฟของ ทีมเจ้าบ้านมีโอกาสชนะเกมการแข่งขันถึง 61 เปอร์เซ็นต์ เยอะกว่าฤดูกาลปกติที่เจ้าบ้านจะมีโอกาสชนะเกมอยู่ที่ 57 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป

หากมองรายละเอียดที่มากกว่านั้นก็จะพบการเปรียบเทียบว่าทีมที่เล่นในบ้านจะมีสถิติการเล่นดีกว่าทีมที่เล่นนอกบ้านในการเพลย์ออฟ ทั้งการเสียการครอบครองบาสน้อยกว่า เสียฟาวล์น้อยกว่า รวมถึงการทำแต้มในการสวนกลับได้มากขึ้น

นอกจากนี้นักจิตวิทยายังได้วิเคราะห์ว่าผู้เล่นบาสเกตบอลที่ได้เล่นในบ้านในเกมเพลย์ออฟจะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจมากกว่าเวลาไปเล่นเกมเยือน เพราะผู้เล่นจะรู้สึกว่าพวกเขาคุ้นชินกับการเล่นในสนามมากกว่าและจะกล้าเล่นกล้าลุยมากกว่าเวลาไปเล่นเกมเยือน ซึ่งอาจมีความกลัวอยู่ในใจที่ส่งผลให้ทำผลงานได้ไม่เต็มที่

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการเล่นเป็นเจ้าบ้านเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟของ ดังนั้นความได้เปรียบจะตกอยู่กับ อันดับ 1 เสมอ เพราะหากได้ 1 มาครอง ทีมนั้นก็จะได้เล่นเป็นเจ้าบ้านมากกว่าทีมเยือนตลอดทั้งการแข่งขันเพลย์ออฟ

ซึ่งถ้ามองจากสถิติที่ผ่านมาก็เปรียบเสมือนการการันตีโอกาสที่จะชนะเกมในการเพลย์ออฟมากกว่าทุกทีม ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นความได้เปรียบสำคัญอีกอย่างของทีมที่มี ที่ดีกว่า

ทั้งความได้เปรียบจากโปรแกรมที่ง่ายกว่าและการได้เล่นในบ้านซึ่งส่งผลกระทบด้านบวกอย่างชัดเจน บวกกับที่ปกติทีมระดับ1 และ2 ของแต่ละสายจะเป็นทีมระดับท็อปของฤดูกาลอยู่แล้ว ทั้งหมดทั้งมวลยิ่งทำให้ทีมที่ครองตำแหน่ง 1 และ 2 มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างมากในรอบเพลย์ออฟ

ดังนั้นแล้ว จึงเป็นลีกกีฬาที่ทีมแชมป์จะต้องทำผลงานมาให้ดีตั้งแต่ในฤดูกาลปกติและต้องเล่นให้ดีตลอดทั้งฤดูกาล ไม่ใช่แค่เล่นประคองตัวเพื่อเข้ารอบเพลย์ออฟ และหวังท็อปฟอร์มในรอบเพลย์ออฟจนพลิกล็อกคว้าแชมป์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ กับ

ดังนั้นอย่าแปลกใจหากฤดูกาลนี้เราได้เห็นทีมจาก 1 หรือ 2 ของแต่ละสาย ไม่ว่าจะเป็น ฟีนิกซ์ ซันส์, บอสตัน เซลติกส์, ไมอามี ฮีตส์, เมมฟิส กริซลีย์ส์ ไปจนถึงทีมแกร่งจาก 3 อย่าง โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส หรือ มิลวอกี้ บัคส์ คว้าแชมป์อีกครั้งในฤดูกาลนี้

UFABETWIN

UFABETWIN เทร โฮลเดอร์ : นักบาสเกตบอลทีมชาติไทยที่ทำลายสถิติ เลบรอน เจมส์

2-3 วันที่ผ่านมา ชื่อของ เทร โฮลเดอร์ กลายเป็นนักบาสเกตบอลที่ถูกพูดถึงอย่างล้นหลามภายในเวลาชั่วข้ามคืน เนื่องจากเขาได้กลายเป็นเจ้าของสถิติ “ผู้ทำแต้มสูงสุดใน 1 เกมของ ดรูว์ ลีก”

63 แต้มคือคะแนนที่เขาทำได้ และนั่นเหนือว่าผู้เล่นระดับ NBA ที่เคยลงเล่นในลีกนี้ทั้ง ไอเซย์ โธมัส, ลิแอนเจโล่ บอล และ เลบรอน เจมส์ …

เทร โฮลเดอร์ นักบาสเกตบอลทีมชาติไทยดีกรีเหรียญทอง ซีเกมส์ 2021 คนนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมเขาจึงกลายเป็นเจ้าของสถิติ

ดรูว์ ลีก แข็งแค่ไหน ?

วิดีโอคลิปลีลาการเล่นของ เทร โฮลเดอร์ กลายเป็นที่ถูกถามถึงขึ้นมาในทันที เมื่อเขาโชว์ลีลาซัดไป 63 แต้มในเกม ดรูว์ ลีก ปี 2022 ที่ได้ดวลกับ ลิแอนเจโล่ คนกลางของ 3 พี่น้องตระกูล บอล ที่ ลอนโซ่ พี่ใหญ่ กับน้องเล็ก ลาเมโล่ โชว์ลีลาอยู่ใน NBA ขณะนี้

จากวิดีโอคลิปที่ได้เห็น เทรโชว์ทักษะการเล่นวงในและวงนอกอย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะ 3 แต้มหรือการเลี้ยงฝ่าเข้าไปทำแต้มก็ทำได้ดี ชนิดที่ว่าหากไม่บอกว่าเขามีเชื้อไทยก็คงคิดว่าเทรคือหนึ่งในคนที่กำลังจะเข้าดราฟต์ใน NBA ครั้งต่อไป

 

หากจะถามว่ามันน่าอัศจรรย์แค่ไหนกับการทำ 63 แต้มในดรูว์ ลีก เช่นนี้ เราคงต้องเริ่มอธิบายก่อนว่า ดรูว์ ลีก นั้นคือลีก  ซึ่งหมายถึงลงได้ทั้งนักบาสอาชีพ และ สมัครเล่นทําให้รายการนี้มีผู้เล่นที่หลากหลายทั้งนักบาส NBA, จากลีกต่างชาติ หรือนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งลีกนี้ก่อตั้งมานานแล้วตั้งแต่ปี 1973

 

จนกระทั่งในปี 2011 ความสนใจในดรูว์ ลีก ก็เพิ่มขึ้นอย่างพุ่งกระฉูด เมื่อนักบาสเกตบอล NBA ตัวดังนำโดย เลบรอน เจมส์ และ โคบี้ ไบรอันท์ ตัดสินใจเข้าแข่งขันในรายการนี้เพื่อเรียกความฟิตในช่วงที่ NBA ประกาศล็อกเอาต์ งดกิจกรรมทุกอย่างเนื่องจากสมาคมผู้เล่นเจรจาส่วนแบ่งรายได้กับลีกไม่ลงตัว ซึ่งแน่นอนว่าบัตรเข้าชมในเกมที่ตัวดังจาก NBA ลงแข่งก็ขายหมดเกลี้ยง

 

หลังจากที่ เลบรอน กับ โคบี้ ลงเล่นในครั้งนั้น ดรูว์ ลีก ก็กลายเป็นสนามที่เหล่าผู้เล่น NBA มาใช้เรียกความฟิตกันมากขึ้น เพราะมันเป็นเกมบาสที่เน้นความมัน เน้นการทำแต้ม ไม่ได้ยึดกับแทคติกอย่างเข้มข้นตลอดเวลาเหมือนกับ NBA โดยมีผู้เล่นระดับแถวหน้าอย่าง เควิน ดูแรนท์, เจมส์ ฮาร์เดน รวมถึง เดอมาร์ เดอโรซาน เข้ามาสร้างสีสันให้กับการแข่งขัน ดรูว์ ลีก จนได้รับความสนใจมากขึ้นในทุกวันนี้

เมื่อมีเหล่าสตาร์มาลงเล่น ผู้เล่นระดับสมัครเล่นจึงใช้สนามนี้โชว์ลีลาเพื่อให้คนกลุ่มใหญ่ได้เห็น และมันก็กลายเป็นเวทีสำหรับนักบาสที่หลุดจากโผดราฟต์เดย์, รุกกี้ที่ไม่ค่อยได้ลงเล่น และผู้เล่นจากต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาปรับสไตล์และเคาะสนิม ดังนั้นถ้าจะบอกว่า ดรูว์ ลีก คือลีกบาสเกตบอลที่มีคุณภาพการแข่งขันสูงระดับหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก … และนี่แหละคือเวที่ที่ เทร โฮลเดอร์ สร้างปรากฏการณ์ไปสด ๆ ร้อน ๆ

เทร ยัง แห่งรัตติกาล

เทร โฮลเดอร์ เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย ชารี แม่ของเขาเป็นชาวไทย เขาเกิดที่ลอสแอนเจลิส หนึ่งในเมืองที่คลั่งไคล้บาสเกตบอลที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่แหละคือต้นกำเนิดของ ดรูว์ ลีก ภายใต้สโลแกน “เมื่อมีโอกาส คุณสามารถเปลี่ยนโลกได้” และพ่อของเขาก็พยายามผลักดันเรื่องบาสเกตบอลให้เขาได้ซึมซับอยู่เสมอ

 

“พ่อเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อการเล่นบาสของผมอย่างมากเลย เขาเป็นทั้งแฟนบอลและเล่นบาสมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ เพื่อนสนิทของพ่อผมก็เล่นใน NBA แต่ผมจำชื่อไม่ได้ ที่แน่ ๆ คือผมมีภาพถ่ายของเขาคนนั้นและผมก็อยู่ในเฟรมเสมอ … ผมเกิดที่ แอลเอ และบาสเกตบอลก็มีวัฒนธรรมอันยาวนานที่นี่ ผมตกหลุมรักบาสเกตบอล และเริ่มเล่นมันตั้งแต่จำความได้”

เทร เป็นนักบาสทีมโรงเรียนเบรนท์วูด และเป็นตัวหลักของทีม แม้เขาจะไม่ใช่เด็กสัตว์ประหลาดเหมือนกับที่นักบาสเกตบอล NBA อย่าง ไซออน วิลเลียมสัน หรือคนอื่น ๆ เป็น แต่เจ้าของความสูง 185 เซนติเมตรที่ถือว่าเป็นผู้เล่น “ตัวเล็ก” ก็ใช้สิ่งอื่นเข้ามาทดแทนพลังของร่างกาย นั่นคือความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดทางกายภาพของตัวเองเสมอ

“เขาเป็นคนทำงานหนักมาก และบาสเกตบอลคือลมหายใจเข้าออกสำหรับเขาเลย ทุก ๆ วันหลังจากที่เขาทำการบ้านเสร็จ บาสเกตบอลคือสิ่งเดียวที่เขาใช้เวลาไปกับมัน เขาจะฝึกฝนมันอยู่เสมอ” แม่ของ เทร โฮลเดอร์ กล่าว

 

UFABETWIN

 

บาสเกตบอลทำให้ เทร ได้ไปต่อยังรั้วมหาวิทยาลัยแอริโซนา สเตท โดยโค้ชที่ดึงตัวเขามาคือ เฮิร์บ เซนเดก โดยเทรใช้เวลาในช่วงที่เรียนปี 2 ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมและจบซีซั่นด้วยการทำผลงานเฉลี่ย 16.2 แต้ม 37 รีบาวด์ และ 3.2 แอสซิสต์ต่อเกม ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าดราฟต์ NBA ในปี 2018 หลังจบปี 4

เทร โฮลเดอร์ มั่นใจพอตัวในการดราฟต์ครั้งนั้น เพราะสื่ออย่าง ถึงกับเรียกเขาว่า “เทร ยัง แห่งรัตติกาล” โดยให้คำจำกัดความเขาว่า “โฮลเดอร์มีความคล้ายกับ เทร ยัง ตรงที่เลี้ยงบอลไปได้หลายทิศทางและยากที่จะป้องกันได้ เขาเล่นให้กับแอริโซนา สเตท ภายใต้การคุมทีมของโค้ช บ็อบบี้ เฮอร์ลีย์ และมันทำให้เขามีอิสระกับเกมเป็นอย่างมาก”

นอกจากนี้เขายังได้พยายามฝึกลบล้างข้อด้อยของตัวเองอย่างจริงจัง เรื่องสภาพจิตใจที่เขาถูกวิเคราะห์ว่าเป็นคนที่มักจะเล่นพลาดแล้วมีอาการแกว่งจนทำให้มีฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งโฮลเดอร์ก็ได้ฝึกซ้อมพิเศษในสนาม รวมถึงการฝึกเรื่องจิตวิทยากับ แกรห์ม เบตชาร์ต (Graham Betchart) นักจิตวิทยาด้านกีฬาที่เคยฝึกให้กับผู้เล่นอย่าง แซค ลาวีน, แอรอน กอร์ดอน และ เบน ซิมมอนส์ มาก่อน

 

 

“ผมต้องเรียนรู้วิธีการทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” โฮลเดอร์ กล่าว “แม้ว่าบางวันผมจะมีฟอร์มที่ดีและความฟิตที่ยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่สามารถหย่อนยานและพูดว่าพรุ่งนี้ผมจะลาหยุดเพราะเมื่อวานผมทำเอาไว้ดีแล้ว ผมพยายามรักษาความสม่ำเสมอให้ได้ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญมาก”

โฮลเดอร์พยายามกระโดด 400-500 ครั้งทุกทีที่ออกกำลังกาย และบางวันเขาก็จะเข้ายิมหลาย ๆ ครั้ง นั่นช่วยให้เขามีความสม่ำเสมอในการกระโดดและทำได้สูงขึ้นด้วย ส่วนเรื่องการยิง 3 แต้มที่เคยเป็นจุดอ่อน หลังจากเข้าฝึกเพื่อการดราฟต์ โฮลเดอร์สามารถยิง 3 แต้มได้แม่นยำด้วยค่าเฉลี่ยที่ดีขึ้นมากกว่าเดิมถึง 36%

อย่างไรก็ตามบางครั้งโลกนี้ก็มีอัจฉริยะและปีศาจที่น่ากลัวซ่อนอยู่มากกว่าที่เราคิด ในการดราฟต์ครั้งนั้นมีสตาร์ ณ ปัจจุบันอย่าง ลูก้า ดอนซิช และ เทร ยัง เข้าร่วมดราฟต์ด้วย

สำหรับ เทร โฮลเดอร์ เขาไม่ถูกเลือก และนั่นมีผลอย่างมาก เพราะตามกฎการดราฟต์นั้นผู้เล่นที่จะเข้าสู่ดราฟต์ของ NBA จะมีโอกาสเพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากเข้าดราฟต์แล้วไม่ถูกทีมไหนเลือก พวกเขาจะต้องอยู่ในสถานะผู้เล่นฟรีเอเยนต์เพื่อให้สโมสรติดต่อมาเองเท่านั้น

 

พูดกันแบบไม่ได้ทำร้ายน้ำใจกันมากเกินไปนักและอิงตามหลักความเป็นจริงคือ เทร โฮลเดอร์ นั้นยังไม่มีคุณภาพระดับคับแก้วแบบพวกปีศาจใน NBA ที่เก่งรอบด้าน ทั้งด้านวิสัยทัศน์ ร่างกาย และทักษะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

สำหรับชายวัย 22 ปีที่หมดเวลาที่จะล่าฝันในแบบพุ่งเข้าชนทั้งตัวเหมือนกับตอนเป็นวัยทีนเอจอีกแล้ว เขาจะต้องหาเงิน ทำงาน เพื่อให้ชีวิตมีหลักประกันที่มั่นคงกว่าความฝัน และนั่นทำให้ เทร โฮลเดอร์ ไปเล่นในต่างแดน เพราะในลีกเหล่านี้แม้จะไกลจากบ้านเกิดแต่ก็ยังมีค่าตอบแทนสูงกว่าการลงเล่นในระดับจี ลีก ของอเมริกา

สู้อีกครั้งเพื่อ NBA

 

UFABETWIN

 

เทร โฮลเดอร์ เล่นในลีกของอิตาลี เยอรมัน และ โปแลนด์ ตั้งแต่ปี 2018 จนกระทั่งในปี 2021 สายลมพัดหวนก็พาเขากลับมายังบ้านเกิด และลีกที่เหมาะกับเขาในเวลานั้นไม่ใช่ NBA แต่คือ จี ลีก ลีกของเหล่าผู้พลาดหวังจาก NBA ที่รอโอกาสที่ 2 ของตัวเอง

จี ลีก คือลีกระดับรองลงมาจาก NBA หรือที่เรียกกันว่าซึ่งจะมีทีมสาขาของเหล่าทีมที่อยู่ใน NBA ส่งลงแข่งขันในลีกนี้ หากผู้เล่นในจีลีกคนไหนมีผลงานที่โดดเด่นก็มีโอกาสจะถูกดึงตัวไปเล่นในระดับ NBA ได้เช่นกัน เช่น อังเดร อินแกรม ที่เคยขึ้นมาสร้างชื่อในช่วงสั้น ๆ ก่อนได้รับสัญญาจาก แอลเอ เลเกอร์ส ในช่วงปี 2019 เป็นต้น

 

เขากลับมาเล่นให้กับทีมเบอร์มิงแฮม สควอดรอน ทีมสาขาของนิวออร์ลีนส์ เพลิแกนส์ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับเวสต์เชสเตอร์ นิกส์ ทีมสาขาของนิวยอร์ก นิกส์ ในปัจจุบัน โดยช่วงเวลาที่กลับมาเล่นใน จี ลีก โฮลเดอร์ ได้มีโอกาสดี ๆ ในการร่วมซ้อมกับนักกีฬาระดับ NBA หลายคน เขาเคยลงซ้อมร่วมกับ เจมส์ ฮาร์เดน และเคยเล่นเกมแบบดวล 1-1 กับ ไครี เออร์วิง มาแล้ว

และในปี 2021 ที่ เทร โฮลเดอร์ กลับมาเล่นในอเมริกาอีกครั้งก็เป็นช่วงเดียวกับที่แฟนบาสเกตบอลชาวไทยได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนไทย และเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมบาสเกตบอลทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ 2021 โดยทางสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยได้มีการออกมาเปิดเผยถึงข้อมูลของนักบาสเกตบอลชายลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ที่ก้าวขึ้นมาติดธงทีมชาติครั้งแรกโดยที่แฟน ๆ วงการยัดห่วงทั่วไทยยังไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักฝีไม้ลายมือของเขามาก่อน

ชื่อของเขาที่ใช้ในการแข่งขันกับทีมชาติไทยคือ แอนโทนิโอ ไพรซ์ สุนทรโชติ โดยสมาคมบาสเกตบอลอธิบายถึงเขาเพิ่มเติมว่า “ผู้เล่นที่มีดีกรีระดับชิงแชมป์มหาวิทยาลัยของอเมริกาหรือโดยมีชื่อในวงการบาสเกตบอลที่นั่นว่า ‘เทร โฮลเดอร์'” เขาติดทีมชาติไทยชุดซีเกมส์พร้อมกับผู้เล่นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อีก 3 คนได้แก่ เฟรเดริก ลิช, โมเซส มอร์แกน และ จา มอร์แกน ที่ผ่านเวทีมาแล้วทั้งหมด ซึ่งในซีเกมส์ที่เวียดนามที่แข่งไปในปี 2022 นั้น เขาช่วยให้ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองในประเภท 3×3 และคว้าเหรียญทองแดงในประเภท 5×5

 

ในวัย 26 ปี เทร โฮลเดอร์ กำลังตามฝันเพื่อพยายามกลับมามีโอกาสใน NBA อีกครั้ง ในช่วงพรีซีซั่น 2022 ที่ผ่านมาเขาโพสต์ภาพระหว่างการซ้อมกับผู้เล่นทีมนิวยอร์ก นิกส์ ด้วยแคปชั่นที่ว่า “เรื่องราวได้ถูกเขียนขึ้นแล้ว” เพื่อส่งสัญญาณว่าจากนี้เขาจะทุ่มสุดตัว แม้ไม่รู้ว่าจะสามารถไปถึงระดับเดียวกับเหล่าปีศาจแห่ง NBA ได้หรือไม่

เทร โฮลเดอร์ กำลังสนุกกับบาสเกตบอลอีกครั้งในเวลานี้ แม้เขาจะต้องลงเล่นใน ดรูว์ ลีก หรือ จี ลีก ก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ทำตามที่เขาพูด นั่นคือการเริ่มเขียนเรื่องราวของตัวเองแล้ว

อย่างไรก็ตามที่สุดแล้วทั้ง จี ลีก และ ดรูว์ ลีก ก็ยังคงเป็นการแข่งขันสำหรับคนที่ไม่พร้อมสำหรับ NBA อยู่ดี เมื่อบวกกับการที่ผู้เล่นแบบอื่น ๆ ทั้งสัญญาทดลองของผู้เล่นท้องถิ่นหรือผู้เล่นที่ถูกดราฟต์โดยลีกเองก็ทำให้เห็นว่า จี ลีก ยังมีคุณภาพแตกต่างจาก NBA มากอยู่เหมือนเดิมในปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือ จี ลีก คือลีกที่เป็นประตูอีกบานที่จะก้าวไปสู่ NBA สำหรับนักบาสฝีมือดี คนที่มีความสามารถสูง ๆ จะได้รับการหยิบยื่นโอกาสครั้งสำคัญจากทีมใน NBA ในยามที่พวกเขาขาดผู้เล่นหรือไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม

 

63 แต้มในรายการดรูว์ ลีก ที่เป็นเหมือนรายการอุ่นเครื่องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน และในวัย 26 ปีมันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะพยายามอีกสักครั้ง เพราะอย่างลืมว่าผู้เล่นอย่าง อังเดร อินแกรม เองตอนที่ได้โอกาสไปเล่นใน NBA ครั้งแรกกับเลเกอร์ส อายุก็ปาเข้าไป 33 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังสร้างผลงานยอดเยี่ยมจนถูกกล่าวถึงและทำให้ผู้เล่นจาก จี ลีก ถูกจับตามองในทุกวันนี้

ว่ากันว่าโอกาสจะมาถึงคนที่เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ สำหรับ เทร โฮลเดอร์ ตอนนี้เรื่องราวของเขากำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาจะเริ่มถูกจับตาจากเหล่าแมวมองมากขึ้นแน่นอน … ที่เหลือเป็นเรื่องของการยกระดับ ความสม่ำเสมอ ทัศนคติ และวินัยที่จะเป็นตัวตัดสินว่า โฮลเดอร์ จะสามารถเป็นผู้เล่นไทยคนแรกใน NBA ได้หรือไม่ ?

UFABETWIN