UFABETWIN “สก็อตต์ ฮอลล์” : นักมวยปล้ำที่ติดเหล้าจนเกือบตายก่อนลุกขึ้นยืนได้ใหม่ด้วยหัวใจไม่ยอมแพ้
ช่วงค่ำตามเวลาของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 14 มีนาคม 2022 โลกมวยปล้ำต้องพบกับข่าวร้าย เมื่อ สก็อตต์ ฮอลล์ นักมวยปล้ำระดับตำนานเจ้าของแมตช์ 5 ดาวแมตช์แรกใน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน เนื่องจากอาการหัวใจวาย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอาการลิ่มเลือดอุดตันระหว่างการผ่าตัดสะโพก
ความโศกเศร้ากัดกินหัวใจของแฟนมวยปล้ำทุกคน ไม่ใช่เพียงเพราะฮอลล์เป็นนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพราะเรื่องราวการต่อสู้ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับมือกับปีศาจนอกสังเวียนอย่าง “อาการเสพติดสุรา” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
นี่คือเรื่องราวของอดีตซูเปอร์สตาร์ที่เคยติดเหล้าหัวปักหัวปำจนสูญเสียอนาคตในวงการและตกต่ำจนคิดฆ่าตัวตาย กับวันที่เขากล้าต่อสู้กับปีศาจของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืดหยัดในฐานะชายที่แข็งแกร่งได้อีกครั้งตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต
เรื่องราวของ “เรเซอร์ ราโมน”
แฟนมวยปล้ำรุ่นหลังอาจรู้จัก สก็อตต์ ฮอลล์ ภายใต้ชื่อจริงของเขา แต่สำหรับแฟนมวยปล้ำรุ่นเก๋าที่ติดตามกีฬาชนิดนี้มาตั้งแต่ยุค 90s พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวตนที่แท้จริงของนักมวยปล้ำรายนี้คือไอ้หนุ่มคิวบาผู้มีชื่อว่า เรเซอร์ ราโมน
เขาเปิดตัวในวงการมวยปล้ำเมื่อปี 1992 เรเซอร์ ราโมน เป็นคาแร็กเตอร์ใหม่ที่ สมาคมมวยปล้ำหมายเลขหนึ่งของโลกสร้างให้กับชายหนุ่มจากรัฐแมรี่แลนด์ เนื่องด้วยด้วยหน้าตาคมเข้มและหนวดเคราดกดำคล้ายชาวลาตินอเมริกัน สก็อตต์ ฮอลล์ จึงต้องรับบทบาทเป็นนักเลงจากประเทศคิวบาที่มาพร้อมกับสำเนียงพูดเหมือนตัวละคร โทนี่ มอนตาน่า ในภาพยนตร์เรื่อง (1983)
อาจเป็นคาแร็กเตอร์ที่ฟังดูตลกขบขันหากเกิดขึ้นในปี 2022 แต่ถ้าย้อนกลับไปในเวลานั้น เรเซอร์ ราโมน คือตัวตนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ สก็อตต์ ฮออล์ โดยก่อนจะเซ็นสัญญากับ เขาตระเวนสร้างชื่อกับสมาคมมวยปล้ำต่างๆอยู่นานเกือบ 10 ปี และลองเล่นมาแล้วหลายบทบาท
ไม่ว่าจะเป็น สตาร์ชิพ โคโยตี้ เพื่อล้อกับหน้าตาของเขาที่คล้ายหมาป่าโคโยตี้, “บิ๊ก” สก็อตต์ ฮอลล์ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำที่ตัวใหญ่ที่สุดของ หรือ ไดมอนด์ สตัดด์ หนุ่มรูปงามกล้ามสวยที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกล่อแฟนมวยปล้ำหญิงให้ตีตั๋วเข้ามาชมผู้ชายมากกว่าจะมาดูมวยปล้ำจริงๆ
ทั้งหมดล้วนเป็นคาแร็กเตอร์ที่ล้มเหลว และชีวิตนักมวยปล้ำของชายที่ชื่อ สก็อตต์ ฮอลล์ กำลังถึงจุดวิกฤต เขาลองเดิมพันครั้งสุดท้ายด้วยการติดต่อไปยัง เป็นเวลานานถึงหนึ่งปีเต็ม เพื่อขอโอกาสสักครั้งที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองกับค่ายมวยปล้ำเบอร์หนึ่งของโลก แม้จะต้องเริ่มต้นจากการเป็นนักมวยปล้ำระดับล่างสุดก็ยอม
แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ใน กลับแตกต่างไปจากที่ฮอลล์คาดหวังในตอนแรก เพราะเขามีทุกอย่างที่สมาคมแห่งนี้ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างกำยำเหนือมนุษย์ เสห่ห์ที่ล้นเหลือเกินบรรยาย และความสามารถในการพูดออกไมค์ที่ยอดเยี่ยม ส่วนจุดอ่อนเดียวในฐานะนักมวยปล้ำของเขาอย่างฝีมือบนเวทีสามารถถูกปิดบังได้ด้วยคาแร็กเตอร์อันยอดเยี่ยม นั่นจึงทำให้ เรเซอร์ ราโมน ถูกผลักดันสู่ระดับสูงตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ออกหน้าจอ
เจ้าของฉายา ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วใน เขาคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลมาครองได้ในปี 1993 ก่อนจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแมตช์ 5 ดาวแรกในสมาคม WWF ด้วยการปล้ำแมตช์ไต่บันไดกับ ชอว์น ไมเคิลส์ ในศึก ซึ่งจนถึงทุกวันนี้แฟนมวยปล้ำหลายคนยังยกให้แมตช์ของทั้งคู่เป็นแมตช์ไต่บันไดที่ดีที่สุดตลอดกาล
“แมตช์นี้พาอาชีพของผมก้าวไปอีกระดับ ในวินาทีที่ผมค่อยๆไต่บันไดขึ้นไปทีละขั้น แล้วผมก็หันไปมองชอว์นที่นอนอยู่อีกฝั่งของเวที ผมถามเขาในใจว่า นายเชื่อไหมล่ะว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันได้ผล?” สก็อตต์ ฮอลล์ เล่าถึงแมตช์มวยปล้ำระดับตำนานที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
นับจากวินาทีนั้น เรเซอร์ ราโมน กลายเป็นหนึ่งในซูเปอร์สตาร์ของโลกมวยปล้ำ คาแร็กเตอร์นี้ถูกผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำฝ่ายธรรมะแถวหน้าของสมาคม ขณะที่ตัวเขาเองได้รับการชื่นชมจากแฟนมวยปล้ำในทุกด้านถึงการพัฒนาที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการปล้ำ การพูด หรือการถ่ายทอดคาแร็กเตอร์ออกมาให้มีชีวิต
นี่คือวินาทีที่ สก็อตต์ ฮอลล์ มีความสุขมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา เขากลายเป็นฮีโร่ของเด็กๆ ผ่านการออกงานการกุศลมากมาย มีตัวตนในโลกวิดีโอเกมส์ รวมถึงโลกของเล่น ได้โอกาสถ่ายโฆษณาเมาไม่ขับในวันคริสมาสต์ ที่สำคัญคือเขาสามารถหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวของเขาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
เรเซอร์ ราโมน สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนและเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เกินกว่านักมวยปล้ำธรรมดาคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ชีวิตของคาแร็กเตอร์อันยอดเยี่ยมนี้จะอยู่ได้เพียงอีกไม่นาน เพราะ สก็อตต์ ฮอลล์ ได้เลือกทางเดินใหม่ให้แก่ชีวิต ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าจะเป็นเส้นทางที่พาไปสู่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของชีวิตเขาในเวลาต่อมา
ก้าวสู่จุดสูงสุดของวงการ
เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 1996 มีนักมวยปล้ำหลายรายของ ที่ถูกผลักดันสู่ตำแหน่งแชมป์โลกและได้รับสิ่งตอบแทนเป็นค่าเหนื่อยมหาศาล แต่ สก็อตต์ ฮอลล์ ไม่ใช่หนึ่งในนั้น เงินเดือนของนักมวยปล้ำรายนี้ยังคงเท่าเดิมเหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อเขาเดินเข้าไปคุยกับเจ้าของค่ายอย่าง วินซ์ แม็คแมน แบบเปิดอก คำตอบเดียวที่เขาได้รับคือ การปฏิเสธ
บวกกับความรู้สึกที่เขาถูกนักมวยปล้ำหลายคนแซงหน้า สก็อตต์ ฮอลล์ จึงเริ่มรู้สึกว่าความก้าวหน้าในอาชีพของเขาอาจเดินมาถึงทางตัน และนี่คือสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิตการทำงาน เพราะเมื่อย้อนกลับไปยังปี 1989 ฮอลล์ ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งแชมป์โลกของ เนื่องจากสมาคมกำลังอยู่ในจุดตกต่ำ และเขาไม่อยากรับบทบาทกัปตันของเรือที่กำลังจะจมน้ำ ซึ่งอาจจะมาฉุดรั้งอาชีพของเขาไว้
สถานการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้กลับมาเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ฮอลล์ รู้สึกว่าตนถูกมองเป็นเพียงนักมวยปล้ำระดับกลาง และประตูสู่การเป็นนักมวยปล้ำหมายเลขหนึ่งของ WWF กำลังจะปิดลงในไม่ช้า นี่คือเวลาที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะพิสูจน์ตัวเองที่นี่ต่อไปหรือจะย้ายไปเลือกเดินเส้นทางใหม่กับสมาคมอื่น
“ผมก้าวมาจากการเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไร สู่นักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดคนหนึ่ง แต่อยู่ดีๆ ผมกลับมาติดแหง็กอยู่ตรงกลางของอะไรบางอย่าง” สก็อตต์ ฮอลล์ เปิดเผยเหตุผลที่เขาหันหลังให้
“พูดตามตรง ผมไม่อยากย้ายออกจากสมาคมเลย แต่ผมไม่อยากทำอะไรแบบที่ผมทำอยู่ใน แล้ว ผมต้องการพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ใหม่ และผมก็คงจะไม่ก้าวไปไกลกว่านี้แล้วใน มันเป็นเวลาที่ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องย้ายค่าย”
ฮอลล์ ไม่ใช่คนเดียวที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ เควิน แนช เพื่อนซี้ของเขาที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนทำงานใน ก็รู้สึกว่าตัวเองเจอทางตันในสมาคมแห่งนี้เช่นเดียวกัน ทั้งสองรู้สึกว่าตัวเองสมควรได้รับเงินมากกว่านี้ ได้รับความสำคัญมากกว่านี้ ซึ่งในปี 1996 มีสมาคมมวยปล้ำแห่งหนึ่งที่พร้อมจะมอบทุกอย่างให้กับพวกเขาได้
คือที่แห่งนั้น สมาคมคู่แข่งของ ที่มีเจ้าของคือ เท็ด เทอร์เนอร์ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง ในสหรัฐอเมริกา และด้วยความทะเยอทะยานของนักธุรกิจผู้มีเงินเป็นพันล้าน พวกเขาพร้อมจะทำทุกทางเพื่อจะขโมยซูเปอร์สตาร์ของคู่ต่อสู้มาเข้ากระเป๋า ซึ่งในขณะนั้น สก็อตต์ ฮอลล์ และ เควิน แนช คือเป้าหมายสำคัญ
ทาง ทราบดีว่าในใจลึกๆของฮอลล์และแนช ทั้งคู่อยากอยู่กับ ต่อไป พวกเขาจึงยื่นข้อเสนอที่การันตีเงินมหาศาล ซึ่งไม่ว่าคุณจะจงรักภักดีกับค่ายเก่ามากแค่ไหนก็จะเปลี่ยนใจมาเซ็นสัญญากับค่ายใหม่ได้ง่ายๆ และเมื่อฮอลล์กับแนชมองเห็นเงินก้อนนี้ที่เป็นค่าเหนื่อยระดับเดียวกับนักมวยปล้ำเบอร์หนึ่งของ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมาตลอด ทั้งสองจึงตัดสินใจย้ายไปสู่ เพื่อเป็นสตาร์แถวหน้าของสมาคม
สก็อตต์ ฮอลล์ เปิดตัวในรายการ วันที่ 27 พฤษภาคม ปี 1996 ซึ่งเป็นตอนแรกที่รายการขยายความยาวเป็นสองชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของแท็กทีม ร่วมกับ เควิน แนช และเป็นหนึ่งในสามผู้ก่อตั้งกลุ่มมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ หรือ
“เราประสบความสำเร็จมากในตอนนั้น เราทำเรตติ้งบนจอโทรทัศน์ได้มหาศาล และเราขายสินค้าให้พวกเขาได้มากมาย ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ สก็อตต์ ฮอลล์ พูดถึงความยิ่งใหญ่ที่เขาร่วมสร้างในฐานะ
“พวกเขาไม่เหมือน ที่สร้างชื่อมานานตลอดหลายปี เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของค่ายมวยปล้ำที่มีแต่ทำแล้วขาดทุน ไม่เคยได้กำไร ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครอยากจะดู แต่เมื่อ ก้าวเข้ามา เสื้อของพวกเราขายหมดเกลี้ยง เราออกไปทัวร์ติดต่อกัน 10 วัน และเสื้อของ ขายหมดตั้งแต่วันที่สอง”
นี่คือวินาทีที่ สก็อตต์ ฮอลล์ ก้าวจากคำว่าซูเปอร์สตาร์สู่การเป็นเมกะสตาร์ของวงการมวยปล้ำ เขาคือนักมวยปล้ำที่ไม่มีใครไม่รู้จัก และสำคัญที่สุดคือเขากลายเป็นนักมวยปล้ำแถวหน้าของสมาคมหมายเลขหนึ่งของโลก เพราะในปี 1996 ความโด่งดังของ ทำให้ความนิยมของ แซงหน้า ไปเป็นที่เรียบร้อย
ความโด่งดังของ สก็อตต์ ฮอลล์ สร้างความโกรธแค้นให้ และ วินซ์ แม็คแมน เป็นอย่างมาก เพราะด้วยความฉลาดเป็นกรดของ สก็อตต์ ฮอลล์ เขาขโมยคาแร็กเตอร์ของ เรเซอร์ ราโมน มาใช้ใน เกือบทั้งหมด เพียงแค่เลิกแต่งตัวเป็นคนคิวบากับเลิกใช้ชื่อสไตล์ลาตินเท่านั้น แต่ท่าทางการเดิน ลักษณะการพูด ประโยคติดปาก หรือนิสัยชอบคาบไม้จิ้มฟันไว้ในปากนั้น สก็อตต์ ฮอลล์ ลอกมาใช้ทั้งหมด
เรื่องนี้นำมาสู่การฟ้องร้องยาวยืดระหว่าง สก็อตต์ ฮอลล์ และ รวมถึงการแก้เผ็ดผ่านการสร้างคาแร็กเตอร์ เรเซอร์ ราโมน ตัวปลอมของ เพื่อเป็นการด้อยค่าสิ่งที่ ฮอลล์ เคยทำไว้ในอดีต ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ผล ฮอลล์ กำลังดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆใน
แต่ท่ามกลางความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น สก็อตต์ ฮอลล์ เริ่มถูกวิจารณ์ว่าขาดการพัฒนาในทุกด้าน การปล้ำที่ยังคงพึ่งแต่ท่าเดิม การพูดที่ยึดแต่ลักษณะเดิม และคาแร็กเตอร์ที่ไม่เคยก้าวไปไหน หลายคนเริ่มกังวลว่าเขาเหมือนกับนักมวยปล้ำรุ่นเก๋าหมดไฟใน ไปทุกขณะ ทั้งๆที่ ฮอลล์ เป็นสายเลือดใหม่และควรจะเป็นอนาคตของสมาคม
นี่คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เริ่มรุมเร้าผู้ชายคนนี้ และความอ่อนแอที่ สก็อตต์ ฮอลล์ เคยแอบซ่อนไว้อยู่ในใจ จนเปิดทางให้ปีศาจตัวร้ายเข้ามาเล่นงานชีวิตของเขาจนหมดสภาพและเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เมื่อปีศาจวิ่งไล่ตามจนทัน
“สก็อตต์ ฮอลล์ เป็นหนึ่งในคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด มองการณ์ไกลมากที่สุด และมีความรู้มากที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วยในวงการมวยปล้ำ แต่ผมกำลังพูดถึงเขาในวันที่ดีอยู่นะ เพราะ สก็อตต์ ฮอลล์ ในวันที่แย่การจะบอกว่าเขาเป็นไอ้ชั่วยังดูดีเกินไปมาก” เอริค บิสชอฟฟ์ เล่าถึงตัวตนสองด้านในอดีตของเพื่อนร่วมงาน
ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับในชีวิตของนักมวยปล้ำยุค 90s คือ พวกเขาเป็นผู้ให้ความบันเทิง และในขณะที่ผู้คนต่างพากันหลับใหล สิ่งที่นักมวยปล้ำเหล่านี้ทดแทนให้กับเวลาทั้งหมดที่เสียไปในการทำงานคือการหาความบันเทิงให้แก่ตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณต้องนั่งหลังแข็งบนรถเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อตระเวนไปยังเมืองต่างๆนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ชีวิตของนักมวยปล้ำเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ดังนั้นแล้ว การดื่มเหล้าจนเมาเละในแต่ละคืนหรือการใช้ยาเสพติดเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจึงเป็นเรื่องปกติของนักมวยปล้ำในเวลานั้น ซึ่งสำหรับ ฮอลล์ ไลฟ์สไตล์ในลักษณะนี้ทำลายชีวิตครอบครัวของเขาจนพังป่นปี้ ท้ายที่สุดภรรยาของเขาก็ได้ขอหย่าร้างกับเขาในปี 1998 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันเลวร้ายทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น
“วันหนึ่งฮอลล์เดินทางมาปล้ำด้วยสภาพเมาหนัก ผมซึ่งกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เลยจำเป็นต้องฉวยโอกาสจากสถานการณ์อันเลวร้ายที่มันเป็นอยู่ อย่างน้อยมันก็อาจจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง” เอริค บิสชอฟฟ์ ให้เหตุผลถึงเหตุการณ์อันอื้อฉาวที่เขาทำกับ สก็อตต์ ฮอลล์
“ผมไม่ภูมิใจหรอกนะที่ทำแบบนั้น และผมคงเลือกทำในสิ่งที่ต่างออกไปหากเป็นตอนนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเขาตอนนั้นมันแย่แค่ไหน คือผมรู้ว่าเขาแย่ แต่ไม่รู้ว่าแย่แค่ไหน มันคือความผิดพลาด ผมยอมรับเลย”
เมื่อปัญหาเสพติดสุราของฮอลล์ยากจะปกปิด จึงนำปัญหาในชีวิตจริงของเขามาผูกเป็นเนื้อเรื่องบนหน้าจอ สก็อตต์ ฮอลล์ นักมวยปล้ำที่เคยสร้างแรงบันดาลใจแก่ใครหลายคนได้กลายเป็นชายสิ้นสภาพที่สะดุดล้มเพราะเมาหัวทิ่ม บางครั้งก็ไม่ยอมเดินทางมาปล้ำเพราะเอาแต่เมาอยู่ที่บาร์ (ตามบท) และที่แย่ที่สุดคือมีการอ้วกแตกกันบนหน้าจอโทรทัศน์
แค่มองในมุมของนักมวยปล้ำคนหนึ่งที่ต้องรับบทเป็นไอ้ขี้เหล้าก็แย่พออยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ฮอลล์ หลังฉากยิ่งแย่กว่า เพราะตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็แยกไม่ออกแล้วระหว่างคำว่า “ชีวิตจริง” และ “คาแร็กเตอร์” เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเมาเละเทะขณะทำงานเป็นเรื่องที่ดีหรือเรื่องที่แย่ ฮอลล์ รู้เพียงแต่ว่าชีวิตของเขาขาดเหล้าและยาเสพติดไม่ได้
ความจริงที่น้อยคนนักจะรู้คือ สุดยอดนักมวยปล้ำอย่าง สก็อตต์ ฮอลล์ มีหัวใจที่เปราะบางกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง ย้อนกลับไปในวันที่เขาเป็นเด็กน้อยอายุเพียง 8 ขวบ ฮอลล์ บอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าเขาจะต้องเติบโตเป็นนักมวยปล้ำ และเมื่อเขาอายุได้ 17 ปี เขาก็เลือกที่จะเดินตามความฝันนั้นด้วยการย้ายไปอยู่ที่รัฐฟลอริดาเพียงลำพัง เพื่อหาลู่ทางเดินเข้าสู่วงการมวยปล้ำตามความฝันที่วาดไว้
แต่วัยรุ่นที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีผู้ปกครองคอยแนะนำย่อมพาตัวเองไปเสี่ยงกับอันตรายอยู่เสมอ ฮอลล์ เองก็เช่นเดียวกัน เมื่ออายุได้ 21 ปี เขาทะเลาะกับชายคนหนึ่งบริเวณหน้าไนท์คลับ และเพื่อจะป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้าย ฮอลล์ จึงพลั้งมือฆ่าผู้ชายคนนั้นตายหลังเข้าแย่งปืนจากคู่วิวาท (ผู้เสียชีวิตถูกยิงด้วยปืนของตัวเอง) และถึงแม้ ฮอลล์ จะหลุดพ้นจากทุกข้อกล่าว เพราะถือว่าเป็นการทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่ตราบาปที่เขาได้พรากชีวิตใครคนหนึ่งไปจากโลกใบนี้ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเขาเลย
“33 ปีก่อนหน้านี้ บนหัวมุมที่อยู่ห่างออกไปตรงนั้นมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมเกิดขึ้น (ก้มหน้า) ขอโทษนะ แต่ผมทำมันไม่ได้จริงๆ” สก็อตต์ ฮอลล์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุที่เขาพลั้งมือฆ่าคนตาย ก่อนยุติการให้สัมภาษณ์กะทันหัน เนื่องจากไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
บาดแผลของ ฮอลล์ จางหายไปเมื่อเข้าสู่วงการมวยปล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้พบกับมิตรภาพที่ยิ่งกว่าครอบครัวกับผองเพื่อนกลุ่ม และการปฏิบัติอย่างดีโดย WWF แต่เมื่อเขาย้ายมาอยู่กับ ที่วัฒนธรรมการทำงานหลังฉากเต็มไปด้วยการกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวและการแทงข้างหลังกันและกัน แพชชั่นที่ ฮอลล์ เคยมีต่อกีฬามวยปล้ำก็หายไปหมดสิ้น เขากลายเป็นคนที่ทำงานไปวันๆเพื่อเงินก้อนโต และนี่คือวินาทีที่ปีศาจตัวร้ายกลับมาอีกครั้ง
ฮอลล์ หลีกหนีจากปีศาจที่คอยหลอกหลอนเขาเรื่องฆ่าคนตายด้วยการยืมมือปีศาจร้ายอีกตนอย่างสุราและยาเสพติด สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ฮอลล์ สร้างความเสียใจแก่หลายคนในวงการมวยปล้ำ แม้แต่ วินซ์ แม็คแมน ก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของเขาเช่นกันที่ทำให้ชีวิตของฮอลล์ลงเอยแบบนี้ เพราะถ้าย้อนกลับไปในปี 1996 เขาเลือกจะทุ่มข้อเสนอแข่งกับ WCW และรั้งฮอลล์ไว้อยู่ โศกนาฏกรรมแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
วินซ์ แม็คแมน แก้ไขความผิดพลาดของตัวเองด้วยการให้โอกาสฮอลล์กลับมาสู่ WWF หรือ อีกครั้งในปี 2002 พร้อมกับผลักดันสู่ระดับสูงทันทีเหมือนกับที่เขาเคยทำในปี 1992 แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว นักมวยปล้ำหนุ่มผู้ทะเยอทะยานหายไปแล้ว เหลือเพียงผู้ชายที่เปราะบางและไม่อาจแบกรับความกดดันอะไรได้อีก เขายังคงพึ่งพาสุราและยาเสพติดเพื่อหลีกหนีจากความเจ็บปวด แม้ในใจลึกๆจะรู้ว่านี่คือปีศาจที่ทำลายชีวิตของเขา แต่มันไม่มีทางไหนที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้อีกแล้ว
ท้ายที่สุด เขาถูกไล่ออกจาก หลังกลับมาทำงานกับสมาคมได้เพียง 4 เดือน หัวใจของเขาแตกสลายยิ่งกว่าเดิม เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเวลาของเขากับวงการมวยปล้ำได้สิ้นสุดลงแล้ว และถึงแม้ฮอลล์จะพยายามกี่ครั้งในการกลับมาสู่วงการมวยปล้ำหลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยได้กลับมายืนในจุดที่เขาเคยเป็นได้อีกเลย
ลุกขึ้นและยืนหยัดจนวันสุดท้ายของชีวิต
ตลอดช่วงปี 2002 จนถึง 2012 สก็อตต์ ฮอลล์ ยังคงมีปัญหาด้านความประพฤติและอาการเสพติดแอลกอฮอล์ จนนำไปสู่การถูกจับกุมหลายครั้ง โดยในปี 2008 เขาถูกจับข้อหาทำร้ายร่างกายขณะมึนเมา, ปี 2010 ถูกจับกุมในข้อหาขัดขืนเจ้าหน้าที่ขณะเมาเละเทะอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง และในปี 2012 เขาถูกจับกุมด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายแฟนสาว หลัง ฮอลล์ บีบคอแฟนของตนขณะที่เขาเมาอย่างหนัก
เห็นได้ชัดว่าตลอด 10 ปีดังกล่าว ชีวิตของ ฮอลล์ ยังคงจมอยู่กับปีศาจตัวร้ายที่ชื่อว่าสุรา เขายอมรับในภายหลังว่ามันสบายใจกว่าที่ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในมุมมืดเช่นนั้น แทนจะออกมาเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ที่ใครหลายคนมีต่อเขา เพราะต้องยอมรับว่าความไม่เป็นมืออาชีพที่เขามีในช่วงท้ายของชีวิตนักมวยปล้ำ ส่งผลให้ฮอลล์ถูกโจมตีอย่างหนัก ถึงกับถูกนักมวยปล้ำรุ่นน้องด่าแบบนอกบทกลางเวทีก็เคยมาแล้ว
“มีหลายคนมากที่ยื่นมือเขามาเพื่อช่วยเหลือผม แต่ปัญหาคือ ผมไม่ยอมที่จะตอบรับความช่วยเหลือนั้น มันเหมือนกับว่า -เฮ้ ถ้าคุณไม่ชอบสิ่งที่ผมทำ ก็ไม่ต้องมายุ่งกับผม-” สก็อตต์ ฮอลล์ บอกเล่าเหตุผลที่เขาจมอยู่กับชีวิตในมุมมืดมานานแสนนาน
“ถามว่าผมตัดสินใจผิดพลาดไหม? เรื่องนั้น แน่นอน ถามว่าผมจะแนะนำยาเสพติดหรือสุราให้คุณไหม? ไม่เลย แต่ถามว่ามันได้ผลไหม? ใช่ มันได้ผล ผมไม่โกหกเรื่องนี้กับคุณหรอก สิ่งที่แย่คือ เมื่อคุณอยากจะเลิกมัน คุณทำไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม”
สก็อตต์ ฮอลล์ หลบหน้าจากเพื่อนๆที่คอยมอบความรักและหวังดีต่อเขามาอย่างยาวนาน แม้เขาจะแสร้งทำเป็นเข้ารับการบำบัดบ้าง แต่เขาไม่เคยคิดจะเลิกเหล้าอย่างจริงจัง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ ฮอลล์ผ่านการบำบัดมามากถึง 12 ครั้ง แถมชีวิตของเขาก็กำลังตกต่ำลงไปอีก
ฮอลล์ เคยปรากฏตัวในงานมวยปล้ำอินดี้ที่มีคนดูเพียงไม่ถึงร้อยด้วยสภาพเมาเละเทะในปี 2011 แม้แต่แฟนมวยปล้ำที่รักเขามากที่สุดยังเห็นตรงกันว่าศักดิ์ศรีของ สก็อตต์ ฮอลล์ ได้จางหายไปหมดสิ้น เหลือแต่เพียงความน่าอับอายในชีวิตของผู้ชายคนนี้เท่านั้น
ท้ายที่สุด ชีวิตของฮอลล์ก็เดินทางมาถึงจุดต่ำสุด เขาครอบครองปืนหนึ่งกระบอกไว้ในมือ และพร้อมจะปลิดชีพให้ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาล โชคดีที่เพื่อนทุกคนในชีวิตของฮอลล์ไม่เคยหันหลังจากผู้ชายคนนี้เลย นักมวยปล้ำอย่าง ไดมอนด์ ดัลลาส เพจ และ เจค “เดอะ สเนค” โรเบิร์ตส์ ได้โทรศัพท์ไปหาฮอลล์อย่างเปิดใจ และยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ชายคนนี้อีกครั้ง
เดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 สก็อตต์ ฮอลล์ ตอบรับคำเชิญของ ไดมอนด์ ดัลลาส เพจ ซึ่งในขณะนั้นทำธุรกิจคลินิกโยคะและผ่านประสบการณ์บำบัดสิงห์ขี้เหล้าอย่าง โรเบิร์ตส์ มาแล้ว ซึ่งสภาพของ ฮอลล์ ที่เดินทางมาพบ ดัลลาส เพจ ทำให้ฝ่ายหลังตกใจมาก เพราะเขาไม่เพียงอ้วนฉุ แต่ยังไม่สามารถเดินด้วยตัวเอง และต้องเคลื่อนไหวด้วยการนั่งรถเข็นตลอดเวลา มันแสดงให้เห็นเลยว่าชีวิตของผู้ชายคนนี้แหลกสลาย และเดินทางมาถึงจุดลิมิตแล้ว
เคราะห์ดีที่ ดัลลาส เพจ ไม่เคยยอมแพ้ เขาลงมือซ่อมแซม สก็อตต์ ฮอลล์ ให้กลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้งทั้งทางร่างกาย จิตใจ ทัศนคติ และจิตวิญญาณ นอกจากนี้ ดัลลาส เพจ ยังเปิดระดมทุนเพื่อหาค่ารักษาพยาบาลอาการป่วยต่างๆของฮอลล์ ซึ่งรวบรวมเงินจากแฟนมวยปล้ำมาได้ถึง 110,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 3 ล้านบาท
กำลังใจจากแฟนมวยปล้ำช่วยให้ฮอลล์กลับมาลุกขึ้นยืนและก้าวเดินต่อไปได้อีกครั้ง (ทั้งในทางปฏิบัติและเปรียบเทียบ) เช่นเดียวกับการบำบัดของ ดัลลาส เพจ ที่แตกต่างออกไปจากที่ฮอลล์เคยประสบมา อดีตนักมวยปล้ำรายนี้มอบแต่ความรักให้แก่ผู้ป่วยของเขา ซึ่งฮอลล์ก็ซึมซับความรักนี้เป็นพลังให้เขาต่อสู้และเอาชนะปีศาจตัวร้ายได้สำเร็จ
“คุณรู้ไหมว่าผมรู้ตัวดีนะว่ากำลังร่วงลงไปอย่างช้าๆ และสักวันหนึ่งผมจะล้มลงไป แน่นอนว่าผมไม่ได้อยู่ในจุดที่ควรจะเป็น แต่ขอบคุณพระเจ้า ผมก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ผมเคยเป็นเหมือนกัน ผมคิดว่าผมโอเค และผมกำลังเดินบนเส้นทางของตัวเองต่อไป”
หนึ่งปีหลังจากเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจังจนหายขาดจากอาการติดสุรา สก็อตต์ ฮอลล์ ก็ได้รับเกียรติถูกเชิญเข้าสู่หอเกียรติยศของ WWE และยังเริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้าไปเป็นโค้ชพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ฝึกฝนนักมวยปล้ำหน้าใหม่ของ เป็นครั้งคราว แต่สำคัญที่สุดคือ ฮอลล์ ได้กลับมาใช้เวลากับลูกๆและครอบครัวของเขาอย่างมีความสุขอีกครั้ง
ฮอลล์ ใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มจนถึงวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ เมื่อเขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย ในวันที่ 14 มีนาคม 2022 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากลิ่มเลือดไปอุดตันระหว่างการผ่าตัดสะโพก โลกมวยปล้ำต่างไว้อาลัยให้แก่เขา เพราะเส้นทางชีวิตของ สก็อตต์ ฮอลล์ คือเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยสัมผัส
“ไม่ว่าจะสักกี่ครั้งที่คุณล้ม โปรดจำไว้ว่านั่นคือจำนวนครั้งที่คุณลุกขึ้น คุณจะไม่มีวันแพ้ ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ ฉะนั้น ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ คุณก็จะไม่มีวันแพ้” นี่คือประโยคที่ เรเซอร์ ราโมน เคยพูดเอาไว้เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน
และคนที่สะท้อนความจริงของคำพูดนั้นได้ดีที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก สก็อตต์ ฮอลล์ เพราะตราบใดที่คุณกล้าจะลุกขึ้น คุณก็จะไม่มีวันแพ้ และตำนานนักมวยปล้ำรายนี้ก็ทำให้เห็นแล้วในชีวิตของเขา